Asphyxiation - นิยาย Asphyxiation : Dek-D.com - Writer
×
NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด

    Asphyxiation

    เรื่องราวและโชคชะตาอันไร้เหตุผลได้นำทางเรื่องราวของโลกสองใบมาบรรจบกัน สงครามอันเฉียบพลันปะทุลั่นพลิกชีวิตของทุกคนเป็นหลังมือ

    ผู้เข้าชมรวม

    331

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    331

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  6 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  26 ส.ค. 67 / 22:36 น.
    คำเตือนเนื้อหา NC

    มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ, มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง, มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

        นิ้วมืออันเรียวยาวขาวสง่าแต่งแต้มลงบนแก้มดุจผืนหิมะของเด็กสาวที่ไร้เดียงสาคนหนึ่ง ลูบไล้ไปมาอย่างช้าๆด้วยสัมผัสอันแผ่วเบา เจ้าของมือคู่เรียวราวยิ้มหวานเสมือนกำลังมองบุตรสาวผู้น่ารักของตัวเองด้วยแววตาแห่งความสุขเปรียบเปรยนัยๆได้ว่านี่คือความบริสุทธิ์ของมารดาที่มีต่อลูกสาวก็ไม่ผิด หน้าตาและลักษณะภายนอกของเธอนั้นคล้ายจนแทบจะเป็นคนเดียวกันจุดต่างมีเครื่องแต่งกายและอายุเพียงเท่านั้น

    “นี่สิ่นะ …ตัวแทนของข้า”

    “…เอ๋ ?” 

    เสียงอันไพเราะของเธอทำให้เด็กสาวเบิกตาสีแดงสวยอร่ามกว้าง ในใจรู้สึกกระสับกระส่ายและใจหายอย่างไม่ขาดสาย ตัวสั่นระริกไปมาเหมือนกับว่ากำลังร้องไห้ หาใช่เพราะเกรงกลัวต่อสิ่งใดแต่เป็นความเกรงกลัวที่จะต้องแบกรับบางอย่างอันหนักอึ้งต่อสิ่งที่เธอตั้งคำถามมาทั้งชีวิต ความเงียบจึงเป็นสิ่งที่เธอตอบส่งกลับไป ดั่งพื้นหลังอันขาวโพลนแสนว่างเปล่าและเปลี่ยวเหงาที่มีแค่พวกเธอสองคนเท่านั้น

    “ขี้อายเหมือนกันเหรอเนี่ยเราน่ะ น่ารักจัง…”

    เด็กสาวผู้นี้ถูกยกยอ เชิดชู และได้รับความรักมาทั้งชีวิต มีเพื่อน ครอบครัว เป็นแสงสว่างนำทางชี้แนะชีวิตให้เธอก้าวเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง ผมสีขาวของเธอเปรียบดั่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องอันไร้ซึ่งมลทินใดๆ แปรผันตรงกับความรู้สึกแปลกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้นั้นแล่นไปมาผ่านสายตาและจิตใจ ต่อจากสิ่งนี้ไปนั้นภาพของสิ่งที่เธอรักและอยากให้มันคงอยู่จะเปลี่ยนไปตลอดการ …แต่แล้วโชคชะตาบังคับเลือกเส้นทางนี้ให้กับเธอโดยที่ไม่ถามเธอเลยซักคำ

    “เจ้าจงเลือกเส้นให้ถูกต้องที่สุด และชี้นำบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ออกมาให้สวยงามที่สุดเท่าที่จะทำได้”

    “ลิขิตมันด้วยสองมือของเจ้า แม้ว่าหนทางจะหนักหนาเพียงใด…”

    “ถ้าเป็นเธอล่ะก็ ….ต้องทำได้สำเร็จแน่ๆ  …ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอเปิดเส้นทางแห่งสันติสุข"

    เส้นโค้งอันประดับบนใบหน้าถูกเติมแต่งไปด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์และสุข ผสมกันออกมาเป็นหยาดน้ำอันบริสุทธ์ไหลผ่านใบหน้าที่สวยงามก่อนจะโผกอดเด็กสาวไร้เดียงสาตรงหน้าพลางเสียงสะอื้นในลำคอที่ยากเกินจะพูดออกมา ใช้มือลูบไล้ไปตามเส้นผมของเด็กน้อยพร้อมกับนำดอกไม้นำดอกไม้สีแดงถัดหู

    “ขะ..#ขอ..อะ-โทษนะ..ที่ฉะ-นต้องมอบโชคชะตา..แบบนี้ให้กับเธอ”

    “แต่มัน..ไม่มีทา-งอื่นใดๆแล้ว…” เธอใช้แรงทั้งหมดข่มเสียงนั้นไว้พร้อมกับเปรยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นอีกครั้งก่อนจะใช้มืออันผ่องใผปัดน้ำตาเล็กน้อยพร้อมแตะไหล่อันนุ่มนวลดั่งก้อนหิมะที่พ้รอมละลายทุกเมื่อ

    “เธอคือผู้เปิดเส้นทางและความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ เพื่อชี้นำเหล่าแสงสว่างขจัดสงครามทั้งหมด”

    “…ถึงคราวที่เธอจะต้องนำทางพวกเขาบ้างแล้วนะ เป็นเด็กดีด้วยล่ะ” 

    ภาพหญิงสาวข้างหน้าเธอสลายหายไปเป็นเพียงกลุ่มดอกไม้สีแดงอันพวยพุ่งโอบอ้อมตัวเธอไว้ ก่อนปลิวหายไปอย่างช้าๆท่ามกลางคำพูดสุดท้ายอันฝังรากลึกไปในจิตใจของเด็กน้อยผู้บริสุทธฺิ์ ปล่อยให้เธอยืนท่ามกลางความเสียงดนตรีอันสงบและกลีบดอกไม้อันน้อยนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ ก่อนที่ดอกไม้จะร่วงโรยสู่พื้น มือสีขาวของเธอคว้าเอาไว้อย่างแผ่วเบาก่อนที่จะมองมันด้วยความสงบ ไม่นานเธอกำมันอย่างแน่นก่อนที่ภาพทุกอย่างจะตัดไป 

    …ถ้ากลีบดอกใบนั้นคือชีวิตนับจากนี้ เธอจะยังคงดิ้นรอต่อไปอยู่รึเปล่านะ ?

     

     

     

    ฝูงเมฆาก้อนมโหฬาลได้เคลื่อนที่บดบังแสงจากพระจันทร์และดวงดาราจนมิดชิดในช่วงเวลาพลบค่ำ ถ้ามีใครสักคนที่แหงนดูดวงดาวด้วยความสุขคงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถึงกระนั้นช่วงเวลาที่จะเชยชมสิ่งสวยงามนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว……. เหล่าเวทมนตร์นับแสนนับหมื่นกำลังพุ่งผ่านธรรมชาติและสถาปัตกรรมแห่งพร้อมกันทั่วทั้งโลก เกิดการจราจลไม่ขาดสายความวุ่นวายเต็มไปหมด การประท้วง พายุกระหน่ำ สายฟ้าเริงระบำ ต้นไม้โลกอันเป็นศูนย์กลางของระบบนิเวศน์กำลังถูกแผดเผา สภาพอากาศแปรปรวน หลุมดำขนาดเท่าดวงจันทร์เคลือบแคลงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ โลกใบนี้กำลังจะถึงจุดจด นั่นคือบทสรุปของโลกที่เหล่าผู้จุติใหม่นั้นมาเยือน โลกเวทมนตร์จะดับสูญในอีกไม่ช้า

    ความขัดแย้งนั้นเป็นบ่อการสงครามของมนุษยชาติมานับแต่ไหนแต่ไร เมื่อมีชุดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา “เห็นด้วย” และ “ไม่เห็นด้วย” จะเป็นผลพ่วงติดกันเป็นลูกโซ่ เมื่อบานปลายมากเพียงใดความรุนแรงก็มากขึ้นเพียงนั้น เป็นสิ่งที่แปรผันตรงกันอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ โลกเวทมนตร์แห่งนี้ก็กำลังเกิดสถานการ์ณแบบนี้เช่นเดียวกัน

    “ฉันว่าแล้วมันจะต้องลงเอยแบบนี้” 

    เด็กสาวผมยาวสลวยสีดำนัยน์ตาสีม่วงอ่อนยืนตระหง่านอยู่บนหอนาฬิกาสูงระฟ้า เครื่องแบบเสมือนทหารองค์รักษ์ผ้าคลุมสีดำตัดสีขาว-เทาปลิวไสวเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม เสื้อภายในคือเชิ้ตขาวเนคไทดำสะพายดาบยาวทมิฬสีดำรูปร่างขนาดไม่กว้างมากคาดเอว พร้อมสายตาทอดยาวไปยังขอบฟ้าส่องสว่างแสนสวยงามอันห่างไกล 

     ข้างๆคือเด็กสาวอีกคนในลุคเลขาส่วนตัว ชุดกระโปรงคล้ายสาววัยทำงาน แต่กลับมีใบหน้าและส่วนสูงในระดับวัยรุ่น มัดผมเป็นก้อนกลมเหนือคอไว้อย่างเรียบร้อย สีดวงตาม่วงอ่อนจางแซมให้เหมือนอัญยมณีสะท้อนออกมาผ่านแว่นกลมกระทบกับละอองเวทมนตร์และเสก็ดไฟและฝุ่นควัน เธอมีท่าทีที่สงบเสงี่ยมพร้อมดันแว่นขึ้นพร้อมกับเอ่ยประโยคไปในทางเดียวกัน

    “ฉันก็คิดเหมือนกันค่ะ สุดท้ายแล้วความโกลาหลของสองเรื่องราวก็ได้ดำเนินมาถึงจุดตัดเส้นเนื้อเรื่อง…ท่ามกลางกระแสเวลาและเหตุการ์ณทั้งหมดค่ะ" เธอชำเลืองมองแววตาแห่งความว่างเปล่าของเด็กสาวข้างๆ ก่อนจะแสดงใบหน้าความเป็นห่วงเป็นใยต่อคนที่เธอเคารพ

    คุณรีเอสเทล…แววตาคุณดูเศร้ามากเลยนะคะ”

    “แล้วฉันต้องรู้สึกยังไงล่ะ ? ที่อยู่ๆก็มีใครมารู้มาพรากบ้านเกิดหรือสิ่งสำคัญของฉันไป”

    “ขออภัยด้วยค่ะ…” 

    เธอก้มหน้ามองต่ำด้วยอารมณ์รู้สึกผิด บรรยากาศรอบๆตัวเธอนั้นก็แย่มากพอที่จะทำให้พวกเธอเศร้าแล้ว บางทีเธอคงคิดว่าการแสดงความเป็นห่วงที่มากเกินไปตอนนี้ไม่ควรทำซะเลย 

    “ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันแค่กำลังรำลึกที่ถึงเรื่องราวในอดีตที่จะไม่หวนคืนอีกต่อไปแล้ว เสวยสุขกับความทรงจำเหล่านั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะชักดาบออกมาสะบั้นเพื่อสร้างเส้นทางใหม่ให้แก่ทุกชีวิตในโลกใบนี้”

    ความขุ่นมัวในสายตาอันตรายด้านจากข้างในเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่งของเด็กสาวผู้ทรงสง่าและปราชัย เธอแหงนหน้าเชยชมดวงดาราบนนภาที่กำลังมอดไหม้ไปพร้อมกับโลกที่เธอยืนอยู่ ก่อนจะขยับคอด้วยท่าทีไม่สงบอารมณ์ราวกับนึกถึงใครบางคนที่เธอไม่ชอบขี้หน้า

    Edeiweiss ดอกที่ II…เธอคนนั้นไร้เดียงสาต่อโลกเพียงเพื่อเติมเต็มชุดความคิดที่ บวกมากเกินไป จนละเลยต่อสถานการ์ณปัจจุบันและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างน่าละอายใจ”

    “เหล่าผู้เฝ้ามองจากฟากฟ้าคนอื่นๆยังเกิดการจราจลกันเองต่อเนื่องนับแต่เหตุการ์ณนั้น แถมยังได้รับผลกระทบและความเสียหายอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้ตนคือที่พึ่งแห่งตน”

    “เห้อ- ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม Edeiweiss จึงเลือกที่ช่วยพวกเหล่า ตัวเอก ทั้งๆที่ผลเสียที่เกิดขึ้น 80% เกิดจากพวกเขา พวกเขาที่ทั้งทรงพลังเกินไปจนพวกมิอาจอยู่เฉยได้" 

    เธอบ่นพึมพัมพลางจับดาบเรียวยาวที่สวยงาม หวนให้นึกถึงอดีตของเรื่องราวก่อนไปนำไปสู่การล่มสลายของโลก มือที่ขาวเรียวของนั้นต้องถูกชโลมไปด้วยเลือดทุกวัน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เปรอะเปื้อนปนกันจนไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นโลหิตของสิ่งมีชีวิตใดกันแน่ สายตาที่เหย่อหยิ่งพร่ามัวกลายเป็นแววตาของคนไร้ชีวิตชีวา ก่อนจะหลับตาเพื่อสลัดเรื่องราวทั้งหมดและเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความเย่อหยิ่งจ้องไปยังเมืองที่มอดไปด้วยเวทมนตร์

    “บ้านของเราที่กำลังแหลกสลายค่อยๆตายอย่างช้าๆ…เมื่อไร้ที่อยู่อาศัยย่อมไร้ชีวิต …เพราะแบบนั้นการอพยพคือหนทางเดียวที่พวกเราจะรอดได้ การไปถึงบ้านใหม่ของพวกเราจักต้องเป็นสงครามอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้”

    ตัวตนอันยืนตระหง่านนี้เป็นผู้มีอิทธิพลต่อโลกทั้งใบผ่านเหตุการ์ณและสงครามที่ผ่านจนมาถึงปัจจุบัน เธอคือตัวแทนผู้สร้างระเบียบของโลก สร้างกฏเกณฑ์ ทำลายทุกอย่างอันเป็นภัย สถานการ์ณที่โลกใกล้ล่มสลายแบบนี้มีหรือที่เธอจะไม่ออกมาโลดแล่นวาดลวดลายด้วยคบดาบเพื่อระบายโลกขึ้นมาใหม่ แต่ถึงแบบนั้นก็สายไปแล้ว

    “สหายร่วมรบของพวกเรายังอยู่กันครบหรือไม่”

    “เอ่อ ค่ะ ยังอยู่กันครบทุกคนค่ะ คาดว่าที่ติดต่อไม่ได้ตอนนี้คงกำลังยุ่งอยู่ค่ะ [นักล่าแห่งความสังสรรค์] ตอนนี้กำลังแฝงตัวที่โลกแห่งการอยู่นอกเรื่องราว หรือที่เรียกว่าโลกแห่งวิทยาศาสตร์ ที่ๆเป็นบ้านเกิดของเหล่าตัวเอกค่ะ…แต่ดูเหมือนว่างานของเธอคนนี้จะไม่คืบหน้-” เวทมนตร์ลูกไฟขนาดใหญ่พึ่งมาหาพวกเธอสองคนด้วยความรวดเร็ว เด็กสาวใส่แว่นมีอาการตกใจเมื่อเห็นอันตรายในชั่วพริบตา ถึงกระนั้นรีเอสเทลยังคงมีทีท่าสงบเหมือนเดิม

    “เอ้ะ ?” 

    เธอใช้มือเปล่าไร้ซึ่งเครื่องป้องกันใดๆปัดป้องและสลายลูกไฟดวงนั้นอย่างง่ายดาย สะบัดมือไปมาเล็กน้อยก่อนจะเพ่งเล่งไปอย่างถนนสายหนึ่งในเมือง พบว่ามีนักเวทย์ 2 คนกำลังตกใจกับผลลัพธ์ที่รีเอสเทลเป็นคนทำ วิสัยทัศน์อันห่างไกลนั้นไม่มีผลกับวิสัยทัศน์อันเฉียบคมของเธอเลยแม้แต่น้อย

    “ขะ-ขอบคุณมากค่ะ” รีเอสเทลเปลี่ยนแววตาของเธอให้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นก่อนจะพูดอะไรบางอย่างคนเดียวท่ามกลางเหตุวินาศสันตะโรเบื้องหน้าของเธอ

    “ผู้กล้าต่างโลก หรือเหล่าผู้จุติใหม่ทั้งหลาย…คงถึงเวลาที่พวกเราจะชิงชัยความเป็นหนึ่งและอุดมการ์ณ”

    “ตัวตนของพวกคุณนั้นชั่งซับซ้อน และเปี่ยมไปด้วยความเห็นแก่ตัวมากเกินไป การมีตัวตนของพวกคุณทำให้กระแสเวลา เอนโทรปี ควอนตัม เส้นพลังก์ สสาร เวทมนตร์ ฟิสิกส์ กฏเกณฑ์ หรือองค์ความรู้ทุกอย่างนั้นปั่นป่วนและก่อให้เกิดภัยพิบัติมากมาย…”

    “ผู้กล้าดาบศักดิ์สิทธิ์ เกิดใหม่เป็นพระเอกเกมจีบสาว เป็นนางร้าย เป็นเซียน เป็นเจ้าของร้านขายไอเทม และอื่นๆอีกมายมายที่พวกคุณเรียกแก่ตัวเอง พร้อมพ่นคำว่า ตัวเอก ใส่ความคิดของคนอื่น”

    “ฉันไม่อาจจินตนาการได้ว่าโลกที่พวกคุณจากมามีองค์ความรู้อะไรบ้าง”

    “มันเพียงแต่ปรากฏการกระทำของพวกคุณทุกคน อันซึ่งแลกกับผลกระทบทำให้โลกเดือดร้อน”

    “พวกคุณได้ทำลายชีวิตที่สองของตัวเองไปแล้ว”

    “เพื่อการอยู่รอดของพวกเราหรือที่พวกคุณเรียกว่าชาวต่างโลก เราจำเป็นต้องอพยพไปที่โลกของท่าน มันคือหนทางเดียวที่จะรอดของพวกเรา..”

    “บัดนี้พวกคุณทุกคนจะถึงคราวที่รับผลแบบนั้นบ้าง การไล่สังหารพวกคุณหลายต่อหลายครั้งมิอาจส่งผลอะไรได้จากเรื่องราวที่ผ่านมา พวกคุณมีจำนวนมากเกินไป …และไม่ควรมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ”

    “พอร์ทอลเคลื่อนย้ายมิติได้ถูกกำหนดขึ้นมากมาย ณ เวลาแห่งนี้ จงใช้แรงขับด้านลบผลักตัวตนของคุณเพื่อการมีชีวิตรอดต่อไป การแทรกซึมพื้นที่และแนวคิดต้องเริ่มขึ้น ณ บัดนี้” 

    “ในมุมกลับกัน การกระทำของเราต่อไปนี้ก็คือความเห็นแก่ตัวเฉกเช่นเดียวกับพวกเขา แต่เพื่อการอยู่รอดของพวกเรา…นั่นคือความต้องการและแรงขับต่อพวกเราทุกคน”

    เมื่อจบประโยคการพูดคนเดียวของรีเอสเทลเธอกระโดดร่วงจากหอนาฬิกาด้วยความเร็วอันเหลือล้นที่แม้เด็กสาวข้างๆเธอยังตกใจกับการกระทำของเธอ

    “เดี๋ยวสิคะ !? ใจเ-” 

    เสียงของความวุ่นวายบนถนนนั้นไม่อาจแทรกผ่านเสียงของลมและเสื้อผ้าของเธอที่โบกสบัดไปมาได้ เกือบใกล้จะถึงพื้นร่างนั้นเบาดั่งขนนก เท้าสัมผัสกับพื้นดินอย่างช้าๆ พร้อมกับแสงจันทร์ที่เปิดทางด้วยเหล่าเมฆาเพื่อต้อนรับการปรากฎตัวของเธอ

    เบื้องหน้าก็แค่สงครามกลางเมืองเล็กๆท่ามกลางความวุ่นวายของโลกทั้งใบ เธอจับดาบช้าๆเผยให้เห็นออร่าสีดำแดงและม่วงที่เลื้อยไปมาระหว่างปลายและปลอกดาบ เมื่อนิ้วเธอสัมผัสมันแค่ชั่วคราว ออร่าพวกนั้นแผ่สสายอนุภาคอย่างบ้าคลั่ง สายฟ้าและออร่าก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทจนตัวเธอส่องแสงสีแดงม่วง 

    “ปฏิบัติการ์ณขับไล่ตัวเอก [Protagonist](ผู้กล้าต่างโลก) เริ่มได้” มือทั้งใบกำด้ามจับอาวุธอย่างแน่นดึงออกจากคมฝักเผยให้เห็นออร่าและตัวใบดาบทมิฬสถิตอยู่ข้างกายดั่งหัตถ์ซ้ายของเธอ  ทุกอย่างเข้าสู่สถานะไร้ซึ่งเสียงเล็ดลอดใดๆ ชูปลายดาบขึ้นชี้ฟ้าอันเป็นสักขีพยานแห่งการกวาดล้างครั้งสุดท้ายก่อนการอพยพสู่โลกใหม่จะเริ่มต้นขึ้น

    มนตรา ละอองมานา เมฆา ท้องนภา กาลเวลา แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งไร้สีสันก่อนที่ริมฝีปากอันสวยงามของเธอจะกระซิบอย่างเบาๆ 

    “แด่มิตรสหายเราทุกคนผู้ต้องหลั่งเลือดและน้ำตามากมาย ขอมาดามจงสถิต ณ ปลายดาบเล่มนี้” คมดาบอันบ้าคลั่งฟาดสะบั้นผ่ากลางแผ่นดิน อุบัติเป็นหายนะแสงสีชาดกลืนกินทั้งบริเวณโดยรอบให้อยู่ในวงวนของการทำลายล้างไร้ที่สิ้นสุด แสงสีชาด-อินทนิลพวงพุ่งแหวกต้องนภากลืนกินแสงแห่งดวงดารามิอาจเหลือการรับรู้ใดๆ ณ ขณะนั้น 

     

     

    ถ้ามีปรากฏการ์ณบางอย่างเกิดขึ้นมาแล้วพลิกโชคชะตาจากหน้ามือเป็นหลังมือ จะสุขมาก่อนหรือทุกข์มาก่อนสุดท้ายก็ไม่พ้นความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น โลกของนาย เพื่อนของนาย คนรักของนาย จะทำอย่างไรกับเส้นทางที่ถูกอะไรก็ไม่รู้มาทอดยาวให้นายเดินไป จะเดินตามทางหรือออกนอกลู่นอกทาง นายยอมรับได้จริงๆเหรอ ? สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไร้เหตุผลนี้ ยอมเจ็บปวด ยอมเศร้าเหรอ ???

     

    ถ้าไม่…… [ก็จงลุกขึ้นสู้และทำลายมันซะ]

     

     

     

     

    เหตุการ์ณและสถานที่ในเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติเท่านั้น ไม่มีเจตนาล้อเลียนสิ่งไหนทั้งสิ้น

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น